รักษาโรคผิวหนัง
ความรู้เรื่องโรคผิวหนังและเลเซอร์
รังสี UVA และ UVB ต่างกันอย่างไร ส่งผลกระทบกับผิวยังไง?
ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว เราจะรู้สึกได้เลยว่า แดดมันเริ่มแรงขึ้น ซึ่งแสง UV ที่ทำร้ายผิวเราได้เนี่ยมีอยู่ 2 แบบ คือ UVA และ UVB ทั้งสองแสง UV นี้ทำร้ายผิวเราได้เหมือนกัน แต่ทำร้ายไม่เหมือนกัน
UVA คืออะไร แล้วทำร้ายผิวอย่างไร
UVA เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาวค่ะ โดยอยู่ที่ 320 ถึง 420 nm และรู้ไหมคะว่า ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาเนี่ย มีแสง UVA ที่กระทบถึงผิวเราได้ถึง 95% และมีมากถึง 80% ในวันที่แสงแดดอ่อนๆ แม้ว่า UVA และ UVB ทำร้ายผิวได้เช่นกัน แต่ UVA จะเป็นรังสีที่หลายคนให้ความระมัดระวังมากค่ะ เพราะว่าเป็นรังสีที่ตกกระทบถึงผิวได้มากกว่า และทะลุเข้าถึงผิวได้ลึกกว่า โดย UVA ทะลุถึงชั้นผิวที่มีคอลลาเจน และอีลาสตินอยู่ นั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่ปกป้องผิวเลย ผิวเราจะมีโอกาสถูกแสง UVA ทำร้ายได้สูง และยังเป็นต้นเหตุของผิวแก่ ริ้วรอยได้ง่ายๆ เลยค่ะ และยังเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังทุกประเภทอีกด้วย
แล้ว UVB ล่ะ ทำให้ผิวเราเสียได้อย่างไร
UVB จะเป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นที่สั้นกว่าค่ะ โดยอยู่ที่ 290-320 nm แม้ว่า UVB จะทะลุเข้าผิวได้ไม่ลึกเท่า UVA ก็ตาม แต่เป็นรังสีที่มีพลังมากค่ะ เพราะรังสี UVB สามารถทำให้ผิวเราไหม้แดด แสบ แดง รวมถึงรอยคล้ำได้ด้วย และความแรงของ UVB จะต่างกับ UVA ค่ะ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลา แล้วก็พื้นที่ที่แสงแดดตกกระทบ ซึ่งในช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคมจะเป็นช่วงที่แสง UVB ค่อนข้างแรง และในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นก็เป็นช่วงระหว่างวันที่มีแสง UVB แรงเช่นกันค่ะ แล้วก็รังสีจะยิ่งแรงขึ้นถ้าตกกระทบกับทราย น้ำ และน้ำแข็ง (อย่างตามทะเล ชายหาด ก็จะเจอแสง UVB แผดเผาแรงค่ะ) รวมถึงถ้าอยู่ในบริเวณที่มีความสูงมากก็จะถูกแสง UVB ทำร้ายได้สูงเช่นเดียวกันค่ะ แม้จะดูเหมือนไม่ร้ายแรงเท่า UVA แต่ขอบอกว่า รังสี UVB ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งผิวหนังด้วยนะคะ
สรุป
สรุปก็คือว่า ทั้งสองรังสีนี้มีความต่างที่ช่วงคลื่นความยาว รังสี UVA จะยาวกว่า อีกทั้ง UVA จะพบเจอได้มากกว่า และยังทะลุเข้าผิวได้ลึกกว่า เป็นสาเหตุทั้งผิวคล้ำเสีย ริ้วรอยได้ด้วย ส่วน UVB แม้ช่วงคลื่นจะสั้นกว่า แต่ก็มีพลังมาก สามารถทำให้ผิวไหม้แดด เกิดรอยคล้ำได้ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นรังสีไหน ต่างก็ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้หากปกป้องผิวไม่ดีพอ
July 3, 2020 at 7:41:31 AM
สิวที่ก้น เกิดจากอะไร รับมืออย่างไรดี ?
สิวที่ก้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ใส่กางเกงที่รัดเกินไป ว่ายน้ำในสระที่ไม่สะอาด หรือใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันรูขุมขน เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้เกิดรอยดำคล้ำจากสิวตามมาได้ด้วย แต่ปัญหาดังกล่าวก็อาจจัดการได้ง่าย ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ในบ้าน หรืออาจไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอื่น ๆ เพิ่มเติมตามแต่กรณี
สาเหตุของสิวที่ก้น
สิวที่ก้นส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus ที่มักอาศัยอยู่ตามผิวหนังและเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลต่างๆ จนทำให้ติดเชื้อ หรืออาจเกิดจากปัญหารูขุมขนอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น เชื้อรา ขนคุด การใช้ยาบางชนิด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เป็นต้น
นอกจากนี้ สิวที่ก้นอาจเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- สวมกางเกงหรือกางเกงชั้นในที่สกปรก ชุ่มเหงื่อ หรือรัดแน่นจนเกินไป
- แพ้สารในผลิตภัณฑ์ซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม
- ใช้บริการอ่างน้ำหรือสระว่ายน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด รวมถึงสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
- กำลังเจ็บป่วย เช่น เป็นโรคเบาหวาน หรือติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น เพราะอาจส่งผลให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ต่ำกว่าปกติ
วิธีจัดการกับปัญหาสิวที่ก้น
ปัญหาสิวที่ก้นอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคือง โดยอาจหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ แต่หากรู้สึกไม่สบายตัวหรืออาการยังคงอยู่เป็นระยะเวลานานก็อาจทำตามวิธีดังต่อไปนี้เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
1. ล้างผิวให้สะอาด การอาบน้ำและล้างผิวบริเวณก้นให้สะอาดเป็นวิธีสำคัญที่ป้องกันการติดเชื้อ และอาจเลือกใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะการล้างบริเวณดังกล่าวอาจช่วยขจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งแบคทีเรียที่เกิดจากเหงื่อออกด้วย
2. อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือใช้บริการอ่างน้ำสาธารณะ เช่น สระว่ายน้ำ หรือสปา เป็นต้น เพื่อไม่ให้เหงื่อหรือสิ่งสกปรกที่มากับน้ำไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ ซึ่งก่อให้เกิดสิวและปัญหารอยดำคล้ำตามมาได้
3. ทาทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil) อาจเลือกใช้โลชั่น ครีม หรือคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ เพราะมีงานวิจัยที่พบว่าน้ำมันสกัดชนิดนี้อาจมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและรักษาสิวได้
4. ซับผิวด้วยน้ำเกลือ นำเกลือ 1 ช้อนชามาผสมกับน้ำสะอาดประมาณ 2 แก้ว จากนั้นนำผ้าขนหนูสะอาดไปชุบให้ชุ่มและซับในบริเวณที่เป็นสิว เนื่องจากน้ำเกลืออาจช่วยรักษาอาการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงได้
5. ใช้ครีมสังกะสี การเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสังกะสีหรือซิงก์ (Zinc) อาจช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ของสิวได้
6.นั่งทับผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นที่ไม่ร้อนจนเกินไปแล้วนำมารองนั่ง เพราะอาจช่วยเปิดรูขุมขนให้กว้างขึ้น ระบายหนอง และขจัดแบคทีเรียออกไปได้ หรืออาจนั่งแช่ในน้ำอุ่นได้เช่นกัน
7. ผลัดเซลล์ผิว ใช้ใยบวบขัดผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวชนิดอ่อน เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและป้องกันการเกิดปัญหารูขุมขนอุดตันหรือติดเชื้อ
8. เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ซักผ้า เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารก่ออาการแพ้ เพราะผู้ที่ผิวแพ้ง่ายบางรายอาจไวต่อสารเคมีต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์ซักผ้า เช่น ผงซักฟอก หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น ซึ่งหากเกิดอาการแพ้ คัน ระคายเคือง หรืออักเสบ ก็อาจทำให้เป็นสิวที่ก้นได้
9.ไม่สวมกางเกงที่รัดหรือคับจนเกินไป ควรเลือกกางเกงที่หลวมพอเหมาะ ระบายอากาศได้ดี ไม่กักเหงื่อ และทำจากผ้าฝ้าย โดยเฉพาะกางเกงชั้นใน
ทั้งนี้ หากดูแลปัญหาสิวที่ก้นด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล หรือมีอาการที่ทวีความรุนแรงขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป และหากปัญหารูขุมขนอักเสบรุนแรงขึ้นมากจนเป็นฝีฝักบัว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และห้ามเจาะฝีออกด้วยตนเองเด็ดขาด
June 26, 2020 at 6:09:23 AM
ผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก (Paederus dermatitis)
คงเป็นที่แตกตื่นกันพอสมควรเมื่อมีการให้สัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งถึงอาการผื่นไหม้ที่บริเวณใบหน้าของแอร์โฮสเตสสาวท่านหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ โดยสาเหตุที่สงสัยว่าจะเกิดจากการสัมผัสกับแมลงชนิดหนึ่งที่ผู้ดำเนินรายการขอเรียกว่า “แมลงน้ำกรด” ซึ่งบางท่านอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักในนามว่า แมลงก้นกระดก ด้วงก้นกระดก หรือ แมลงเฟรชชี่ นั่นเอง
ภาวะที่เกิดขึ้นนี้มีชื่อว่า ผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก หรือ Paederus dermatitis ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการสัมผัสโดนสารชนิดหนึ่งจากตัวแมลงที่มีชื่อว่า ด้วงก้นกระดก หรือ ด้วงปีกสั้น หรือ ด้วงก้นงอน (Rove Beetle, ชื่อวิทยาศาสตร์: Paederus fuscipes ) เป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 มม. ส่วนหัวมีสีดำ ปีกน้ำเงินเข้มขนาดเล็ก และส่วนท้องมีสีส้ม แมลงชนิดนี้มักจะงอส่วนท้ายเมื่อเกาะอยู่กับพื้น จึงมักเรียกว่า "ด้วงก้นกระดก" แมลงชนิดนี้จัดอยู่ใน Genus Paederus , Family Staphylinidae, Order Coleoptera โดยพบกระจายทั่วโลก มากกว่า 600 สปีชี่ส์ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น โดยมักอาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ชอบออกมาเล่นไฟและแสงสว่างตามบ้านเรือน โดยเฉพาะจะมีมากในช่วงปลายฤดูฝน
แมลงชนิดนี้สามารถปล่อยสารที่เรียกว่า Pederin ออกมา โดยสารชนิดนี้ก่อให้เกิดความระคายเคืองกับผิวหนังมาก ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังของผู้ที่สัมผัสโดน และจะมีอาการแสบร้อนหรือ คันได้เล็กน้อยโดยไม่ได้ก่อให้เกิดอาการปวดแสบรุนแรงแต่อย่างใด และมีการอักเสบของผิวหนังได้โดยความรุนแรงจะขึ้นกับปริมาณความมากน้อยหรือความเข้มข้นของสาร Pederin ที่สัมผัสโดน อาการผื่นผิวหนังจะยังไม่เกิดทันทีที่สัมผัส แต่จะเริ่มเกิดผื่นและอาการแสบเมื่อผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมง ต่อมาจะเกิดเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน หรือรอยไหม้ลักษณะเป็นทางยาว โดยลักษณะที่เกิดเป็นทางยาวเพราะเกิดจากการปัดด้วยมือ หรือบางรายจะเกิดผื่นที่บริเวณซอกรอยพับที่ประกบกัน (kissing lesion) ร่วมกับตุ่มน้ำพองและตุ่มหนองใน 2-3 วัน โดยผื่นตุ่มน้ำตามบริเวณใบหน้า ลำคอ แขน มักทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูสวัดได้แต่แตกต่างจากผื่นงูสวัดคือผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก จะไม่มีอาการปวดร้าวตามแนวเส้นประสาทที่ตำแหน่งที่เกิดผื่นเหมือนเช่นในงูสวัด ผื่นที่เกิดจากการสัมผัสแมลงก้นกระดกนี้ในเวลาต่อมาผื่นหรือแผลจะตกสะเก็ดและหายได้เองได้ภายใน 7 - 10 วัน หายแล้วอาจจะทิ้งรอยดำไว้สักระยะหนึ่ง ได้แต่มักไม่เกิดเป็นแผลเป็นนอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมที่บริเวณผื่นเดิมทำให้ผื่นหายช้าลงและอาจลุกลามจนมีโอกาสเกิดเป็นแผลเป็นหลังจากผื่นหายแล้วได้ สำหรับในรายที่ผื่นเป็นบริเวณกว้าง อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ หรืออาการคลื่นไส้อาเจียนได้ หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
หากสัมผัสถูกตัวของ “แมลงก้นกระดก” แล้ว ให้รีบล้างด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำสบู่ และประคบเย็นในบริเวณที่สัมผัสโดนแมลง สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง ถ้าเกิดเพียงรอยแดงเล็กน้อยสามารถหายเองได้ใน 2-3 วันไม่จำเป็นต้องทายาใด แต่ถ้าอาการผื่นเป็นมากขึ้นหรือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยการรักษาผื่นก็คือการให้ครีมสเตียรอยด์ทาในผื่นแดงระยะเริ่มแรก แต่ถ้าผื่นมีตุ่มน้ำพองเป็นบริเวณกว้างหรือแผลไหม้ควรทำการประคบด้วยน้ำเกลือครั้งละ5-10 นาที วันละ 3-4 ครั้งจนแผลแห้ง ร่วมกับพิจารณายาปฏิชีวนะชนิดรับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมและการรับประทานยาแก้คันเพื่อช่วยบรรเทาอาการคันในผู้ป่วยบางราย
คำแนะนำในการป้องกัน “แมลงก้นกระดก” ก็คือ ไม่ควรจับตัวแมลงมาเล่น ควรหลีกเลี่ยงการปัดหรือบีบตัวแมลงที่มาเกาะตามตัว ควรใช้วิธีเป่าแมลงให้หลุดออกไปเองโดยไม่ต้องจับโดนตัวแมลง ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ก่อน เพื่อป้องกัน รวมทั้ง ควรปิดประตูตู้เสื้อผ้า ประตูและหน้าต่างห้องนอนให้มิดชิดทั้งกลางวันและกลางคืน ในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเฉพาะเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะควรปิดไฟห้องนอน เพราะ “แมลงก้นกระดก” มักชอบออกมาเล่นแสงไฟตามบ้าน
June 22, 2020 at 6:52:45 AM
ผื่นผิวหนังจากการแพ้ยา (Cutaneous drug eruption) หรือผื่นแพ้ยา
อาการแพ้ยามักเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติแพ้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อนซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ยามีลักษณะทางเคมีคล้ายกัน หรือในคนที่มีประวัติของโรคภูมิแพ้ (เช่น หืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษ ผื่นคัน) มักจะมีโอกาสแพ้ยามากกว่าคนปกติที่ไม่มีประวัติ ดังนั้นการใช้ยาจึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้มาก ในหลายคนมักสับสนในเรื่องของการแพ้ยา ซึ่งเข้าใจว่าอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากการใช้ยาทั้งหมดเป็นการแพ้ยา เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ ใจสั่น ผื่นคัน แท้จริงแล้วอาการเหล่านี้จะเรียกว่าอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.อาการข้างเคียงจากยา ผลการเกิดอาการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผลมาจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยา และ
2.การแพ้ยาซึ่งอาการที่เกิดขึ้นมักจะไม่สัมพันธ์กับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและมักจะพบอาการที่เด่นชัดในระบบผิวหนัง ในบทความนี้จึงขอกล่าวในรายละเอียดของการเกิดผื่นที่เกิดจากการแพ้ยา
ผื่นผิวหนังจากการแพ้ยา (Cutaneous drug eruption) หรือผื่นแพ้ยา หมายถึงอาการไม่พึงประสงค์จากการแพ้ยาที่เกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบผิวหนัง รวมทั้ง ผม ขน เล็บและเยื่อบุ อาการดังกล่าวไม่สามารถคาดเดาได้ และสามารถเกิดขึ้นแม้จะได้รับยาขนาดปกติ หรือไม่จำเป็นต้องได้รับในขนาดสูงก็สามารถเกิดผื่นแพ้ยาได้ กลไกของการเกิดการแพ้ยาอาจเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน หรือไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน หรือไม่ทราบสาเหตุก็ได้ หลักเกณฑ์ที่พอจะบ่งชี้ถึงการเกิดอาการแพ้ยาได้โดยคร่าวๆ คือ ประวัติการได้รับยาตัวนั้นๆมาก่อนในช่วง 1-2 อาทิตย์ ประวัติภูมิแพ้ โรคร่วมอื่นๆ สถิติของการเกิดผื่นแพ้ยาของยาชนิดนั้นๆ รูปแบบของผื่นที่เกิดขึ้น เป็นต้น โดยส่วนใหญ่หากสงสัยอาการแพ้ยาจากยา การหยุดยาที่สงสัยแล้วทำให้อาการของผื่นดีขึ้น และ/หรือเกิดขึ้นอีกหากมีการใช้ยาซ้ำ ทั้งนี้การตรวจวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติที่ค่อนข้างละเอียด การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การทำ skin test หรือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
สงสัยแพ้ยาควรทำอย่างไร?
บ่อยครั้งที่เกิดอาการไม่พึ่งประสงค์จากการใช้ยาค่ะ เช่นมีผื่นขึ้น หายใจลำบาก เกิดอาการบวม หรือวิงเวียนศีรษะ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่อาการแพ้ยาเสมอไป ทางการแพทย์เรานั้นแบ่งอาการไม่พึ่งประสงค์นี้ออกเป็นสองอย่างที่สำคัญที่ควรรู้ค่ะ
- Drug allergy (การแพ้ยา) เป็นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น ซึ่งไม่ได้เกิดกับทุกคน และ ทำนายได้ยาก ว่าจะมีอาการแพ้หรือไม่ อาการนั้นจะคล้ายๆกับการแพ้อาหาร แพ้กุ้ง ที่มีอาการ บวมตามใบหน้า มีผื่นขึ้น หลอดลมตีบ หายใจลำบาก
เมื่อเกิดอาการแพ้ยานี้ เราจะไม่สามารถใช้ยาตัวนี้ได้อีกเลย เพราะฉะนั้นต้องจำชื่อให้แม่นค่ะ เพราะถ้าเกิดแล้ว อาการนี้จะเกิดไปตลอดชีวิต แม้จะรับยานี้ในขนาดน้อยๆก็ตาม
- Drug Adverse Effect (เกิดผลข้างเคียงจากยา) เป็นกลไกที่ไม่พึ่งประสงค์จากฤทธิ์ของยานั้นๆ ซึ่งเกิดกับทุกคนที่รับยา แต่การรับรู้ผลนั้นแตกต่างกัน เช่นบางคนกินยาแก้แพ้แล้วรู้สึกง่วง บางคนไม่รู้สึก แต่หากเพิ่มระดับยาขึ้นสูงๆ จะสามารถรับรู้ได้ทุกคน เมื่อเกิดผลข้างเคียงของยา ไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ให้หยุดการรักษาด้วยยานั้น เพียงแต่ต้องพบแพทย์เพื่อปรับการบริหารยาให้เหมาะสมกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
เมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์ควรทำอย่างไร?
เป็นการยากสำหรับบุคคลทั่วไป ในการแยกระหว่าง “แพ้ยา” กับ “ผลข้างเคียง” ดังนั้นหากเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ให้หยุดการใช้ยาไว้ก่อน และปรึกษาบุคคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญให้นำยาที่กินอยู่ทุกตัวไปด้วยค่ะ เพราะจะได้วินิจฉัยให้ชัดเจนว่าเป็นยาตัวใด และ ใช่การแพ้ยาหรือไม่
เมื่อเกิดอาการแพ้ยาจริง บุคคลากรทางการแพทย์ จะวินิจฉัยว่าเป็นการแพ้ชนิดใด และจะทำการออกบัตรแพ้ยา พร้อมทั้งระบุชนิดย่อยของการแพ้ลงในบัตร คนไข้ควรเก็บบัตรนี้ติดตัวไว้ตลอดและจำให้ได้ พร้อมทั้งยื่นบัตรแพ้ยาก่อนทำการรักษาใดๆเพื่อป้องกันการแพ้ซ้ำซ้อน
อีกประโยชน์ของการมีบัตรแพ้ยา และ รู้กลุ่มยาที่มีการแพ้ชัดเจน คือสามารถทำนายการแพ้ยาในกลุ่มเดียวกัน หรือยาที่มีโครงสร้างคล้ายกันได้
ทั้งนี้การรู้จักผื่นแพ้ยา และเฝ้าระวังหรือคอยสังเกตอาการหลังจากรับประทานยา เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดการแพ้ยาซ้ำ รวมไปถึงการลดโอกาสในการเกิดผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง หากเกิดอาการที่สงสัยว่าคล้ายกับแพ้ยาหลังจากได้รับยาชนิดนั้นๆไป ผู้ป่วยไม่ควรหยุดการรักษาเองเพราะบางทีอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่อาการแพ้ที่รุนแรงจนทำให้ต้องเปลี่ยนแนวทางการรักษา หรือเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่น หรืออาจจะไม่ใช่อาการแพ้ยาเพียงแต่เป็นผลข้างเคียงของยา ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีอาการดังกล่าว
June 21, 2020 at 4:53:11 AM
อย่าปล่อยให้ผิวต้องไหม้เสีย ใช้กันแดดป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ
แสงแดด ที่แผดแสงมาโดนผิวเราในทุกวันนี้ แม้จะเห็นว่าเป็นแสงสีนวลดูอบอุ่น แต่รู้หรือไม่ว่ามีอันตรายมากกว่าที่คิด ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วยแล้ว แพลนไปเที่ยวต่างจังหวัด กางเต็นท์ ลุยป่า ฝ่าคลื่นทะเล ล้วนต้องปะทะกับแสงแดดโดยตรง อย่างน้อยต้องรู้จักป้องกัน ผู้ช่วยผิวแบบพกพา คงไม่มีอะไรดีไปกว่า “ครีมกันแดด” อย่าคิดว่าพกไปแล้วทาเพียงอย่างเดียวแล้วจะจบนะ ต้องรู้จักวิธีใช้ที่จะปกป้องผิวของเราให้มากที่สุดด้วย อย่าประมาท เพราะถ้าพลาดขึ้นมา ผิวคุณโดนแสงแดดเล่นงานแน่นอน
วันนี้ Virat Clinic มาแนะนำให้รู้จักกับ “ครีมกันแดด” ผู้ช่วยผิวช่วงเทศกาลหน้าร้อน
ในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือรังสี UV ซึ่งมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ UVA และ UVB ซึ่งรังสีเหล่านี้อยู่ในช่วงคลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าและทั้งคู่กินผิวของเราเป็นอาหาร
– รังสี UVA เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นมากที่สุดกว่ารังสีอื่น มีมากถึง 95% ของรังสีที่มากระทบกับผิวเรา โดยเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวแก่ก่อนวัย และเรื่องของผิวคล้ำแดด โดยเฉพาะเรื่องของ กระ และ ฝ้า ซึ่งรังสีพวกนี้สามารถทะลุผ่านกระจกหรือแม้กระทั่งก้อนเมฆได้ นั่นหมายความว่า ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มหรือแม้กระทั่งที่เรานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ เราก็จะได้รับรังสีตัวนี้ตลอดเวลาและทุกวัน อยู่ออฟฟิศอย่าคิดว่ารอด
– รังสี UVB ถึงแม้จะเข้าถึงไม่ลึกเท่ากับรังสียูวีเอ แต่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวแดง ผิวไหม้แดด และมะเร็งผิวหนัง โดยรังสีตัวนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษในการสะท้อนกับผิววัตถุ ไม่ว่าจะเป็นพื้นน้ำ พื้นทราย ซึ่งอัตราการสะท้อนกลับมีมากถึง 80% นั่นหมายความว่าผิวเราจะได้รับรังสีมากกกว่าปกติถึงสองเท่า เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยเมื่อเวลาที่เราไปทะเล ผิวเราจะมีความคล้ำเสียได้ง่ายกว่าปกติ
แสงแดดเวลาไหนอันตรายที่สุด ช่วงเวลา 10 โมงเช้า – 4 โมงเย็น หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณรังสี UV มีความเข้มข้นมากที่สุด แต่ถ้าหากต้องออกแดดจริงๆ แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่นหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด หรือ ร่ม
เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิว
ผิวแพ้ง่าย แดงง่าย ผิวบอบบาง ผิวที่มีปัญหาสิว ให้เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide พยายามเลี่ยงครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของกรด Paba และ Oxybenzone เพราะว่าสองตัวนี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย วิธีเลือก คือ ถ้าฉลากมีเขียนว่า Preservative free หรือ Fragrance free พวกนี้สามารถใช้ได้เลย ถ้ามีปัญหาเรื่องสิว ควรใช้แบบที่เป็นเนื้อโลชั่น เพราะประเภทครีมเนื้อจะข้นมากไป ทำให้เกิดการอุดตันได้ ถ้าเป็นประเภทเจล มักจะมีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์สูง ซึ่งก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้มากเช่นกัน
ผิวแห้ง ครีมกันแดดที่แนะนำจะต้องมี Moisturizer เราอาจจะสังเกตส่วนประกอบข้างหลังขวด อย่างเช่น ลาโนลิน เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดหนึ่ง แบบนี้ใช้ได้ดีเลย โดยรูปผลิตภัณฑ์ที่แนะนำจะอยู่ในรูปของครีม โลชั่น หรือขี้ผึ้ง ก็ใช้ได้เช่นกัน
ผิวที่มีปัญหาเรื่องเม็ดสี เช่นฝ้า หรือในคนที่ผิวขาวมากๆ ผิวประเภทนี้ต้องการการปกป้องมากเป็นพิเศษ แนะนำครีมกันแดดที่มี SPF30+ ขึ้นไปและต้องทาให้เป็นประจำเพื่อการป้องกันที่ดีแนะนำพิเศษสำหรับคนที่เป็นฝ้า ให้ใช้ครีมที่มีสารประกอบของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide อย่างในเครื่องสำอางเวลาให้ลองดูว่าตัวไหนมีส่วนประกอบของ Iron Oxide ซึ่งจะสามารถป้องกันแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า อย่างแสงไฟในที่ทำงานทั่วไป หรือแสงอาทิตย์ที่เรามองเห็นได้ ซึ่งมีรายงานว่าแสงเหล่านี้ สามารถกระตุ้นให้ฝ้าเข้มได้
ผิวสีน้ำผึ้ง ผิวสีประเภทนี้ จะมีปัญหาเมื่อเราใช้ครีมกันแดดที่มีสารประกอบของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ปัญหาที่เกิดคือหน้าขาวมากผิดปกติ หรือที่เรียกว่าหน้าลอย วิธีแก้ คือ พยายามเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของ Micronized แล้วตามด้วยชื่อของสารประกอบนั้นๆ ซึ่งแปลว่าอนุภาคของสิ่งที่เอามาทำจะเล็กลง สิ่งที่ตามมา คือ หลังจากนั้น ครีมกันแดดจะเกลี่ยได้ง่าย ทำให้แต่งหน้าได้ง่าย ไม่ขาวจนเกินไป
วิธีเลือกครีมกันแดด
1.เลือกครีมกันแดดที่เขียนไว้ว่าบนฉลากข้างบรรจุภัณฑ์ว่า “Broad Spectrum” เพราะสามารถป้องกันแดดได้ทั้งรังสี UVA และ UVB หรือดูจากตัวอักษรที่เขียนว่า SPF ซึ่งเป็นการบ่องบอกว่า สามารถป้องกันรังสี UVB และ PA แล้วมีเครื่องหมาย + ตามมา สามตัวเป็นอย่างน้อย หรือ PPD มากกว่า 8 หรือ PA ที่อยู่ในสัญลักษณ์วงกลม ซึ่งหมายความว่าครีมกันแดดขวดนี้สามารถป้องกันรังสี UVA ได้
เลือก SPF ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำ โดย SPF15 สามารถกรองรังสี UVB ได้ประมาณ 93% ถ้า SPF30 กรองได้ประมาณ 97% SPF50 กรองได้ประมาณ 98% SPF30 กับ SPF50 อัตราการกรองจะต่างกันแค่ 1% เพราะฉะนั้น SPF มากที่สุด ที่แนะนำให้ใช้ คือ SPF50 เท่านั้น ถ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกก็ใช้แค่ SPF15 ขึ้นไป แต่ถ้าต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกก็ต้อง SPF30+ ขึ้นไป
3.ครีมกันแดดแบบ Water Resistant หมายถึง เป็นครีมกันแดดที่กันน้ำ เหมาะสำหรับการออกไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมที่ทำให้มีเหงื่อออกเยอะ สามารถป้องกันรังสี UV ต่างๆ ได้ประมาณ 40-80 นาทีหลังทา ดังนั้นควรทาซ้ำหลังจากที่ทำกิจกรรมดังกล่าวไปแล้ว
ครีมกันแดดมีอยู่ 2 ประเภท คือ Chemical Sunscreen และ Physical Sunscreen
1. Chemical Sunscreen จะใช้หลักการด้วยการดูดซับรังสี UV แล้วเปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีความยาวช่วงอื่นกับความร้อน ก่อนที่จะคลายตัวออกจากครีมกันแดด แต่บางชนิดกันได้แค่ UVA บางชนิดกันได้แค่ UVB หรือบางชนิดกันได้ทั้ง 2 แบบ
**ข้อดี เนื้อโลชั่นมีความเกลี่ยง่าย ทำให้การแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
** ข้อเสีย ของครีมกันแดดประเภทนี้ คือ จะไม่คงทนต่อเหงื่อและน้ำ และยังก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวได้ง่าย
2. Physical Sunscreen ใช้หลักการสะท้อนรังสี UV ออกจากผิวหนังของเรา โดยครีมกันแดดลักษณะนี้ สามารถกันไดทั้งช่วงคลื่นรังสี UVA และ รังสี UVB
**ข้อดี คือ จะดูดซึมเข้าสูผิวหนังน้อยมาก เพราะนั้นเลยไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการแพ้
**ข้อเสีย คือ คุณสมบัติทึบแสงของอนุภาคเหล่านี้ หลังการทาจะทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นมากกว่าปกติ
- ทาครีมกันแดดอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
เลือก SPF ที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำ ทาให้เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในร่มอยู่ที่ออฟิศ อยู่ที่บ้าน วันที่ฟ้าครึ้มไม่มีแดด ก็ต้องทาเพราะว่ารังสี UV สามารถผ่านทะลุกระจกรวมถึงก้อนเมฆได้ เพราะฉะนั้นทำให้ผิวของเราเจอกับรังสี UV อยู่ตลอดเวลา
บริเวณลำตัวแนะนำให้ทาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับใบหน้าและลำคอ ขึ้นอยู่กับเนื้อของผลิตภัณฑ์ ถ้าเป็นครีม แนะนำให้บีบครีเท่ากับสองข้อนิ้วมือ แล้วแบ่งทาทีละครึ่ง ถ้าเป็นโลชั่นให้บีบไว้บนฝ่ามือ ใหญ่เท่าประมาณเหรียญ 10 บาท ทาแบบทีละครึ่งเหรียญทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาทีก่อนออกแดด และในวันที่มีกิจกรรมกลางแจ้งให้ทาซ้ำเพราะครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพกันรังสี UV ได้แค่ 2 ชั่วโมงหลังจากนี้ไป ประสิทธิภาพก็จะหมดลง
เรื่องของแสงแดดไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ส่วนหนึ่งให้ผลในทันที ส่วนหนึ่งจะเห็นผลหลังจากที่เรากลับมาจากไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งมาแล้ว เพราะฉะนั้น ขอย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร อย่าลืมทา “ครีมกันแดด” ทุกครั้งจะได้มีผิวใสไม่หมองคล้ำกลับมา
June 15, 2020 at 8:05:47 AM
ผื่นคันเกาแล้วลาม มีสาเหตุจากโรคผิวหนังชนิดใดได้บ้าง?
ผื่นคันเกาแล้วลามเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคไม่ร้ายแรงจนถึงโรคเรื้อรังรักษายาก รู้ทันโรคที่อาจเป็นได้ และสัญญาณอันตรายที่หากสังเกตพบต้องรีบหาหมอ
หลายคนอาจเคยประสบปัญหาเวลามีผื่นคัน ยิ่งเกายิ่งคัน ยิ่งคันยิ่งเกา ลามไปกันใหญ่จนรุนแรงขึ้น เป็นที่น่ากังวลใจ ผื่นผิวหนังอักเสบหลายชนิดจะลุกลามขึ้นเมื่อเกา หลายคนมักเข้าใจผิดว่าผื่นที่เกิดอาการคันตามตัวมีสาเหตุจากการแพ้ หรือจากฝุ่นละออง หรือสิ่งสกปรกตามเสื้อผ้า แต่แท้ที่จริงแล้วสาเหตุของผื่นคันเกาแล้วลามมีมากมาย เช่น
- ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) ลักษณะจะพบผื่นแดงคัน เกาแล้วอาจทำให้ผื่นขยายขนาดขึ้น นูนหนามากขึ้น หรือในบางรายอาจพบว่าเกาแล้วมีน้ำใสๆ ออกมา ผื่นดูแดง แฉะ อักเสบยิ่งกว่าเดิม มีทั้งทราบและไม่ทราบสาเหตุกระตุ้น
สาเหตุที่พบได้ เช่น แพ้สารเคมี แพ้ยา การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด
- ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) เป็นผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ในเด็กมักขึ้นบริเวณแก้ม แขน ข้อศอก หัวเข่า ส่วนในผู้ใหญ่มักขึ้นบริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า
ในบางรายอาจจะพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ภูมิแพ้อากาศ มีน้ำมูกใสๆ ในช่วงเช้า หอบหืด คันตา เกิดวงขาวบริเวณใบหน้าที่เรียกว่า เกลื้อนน้ำนม ผิวแห้ง มีรอยคล้ำและเส้นใต้ตา (Dennie morgan lines) ผื่นจากโรคนี้จะคันมาก ยิ่งเกาจะยิ่งคันและนูนหนาขึ้น รักษายาก
- ผื่นลมพิษ ชนิดเดอร์โมกราฟิซึม (Dermographism) จะมีผื่นนูนแดงเวลาเกาหรือขูดขีด นอกจากนั้นอาจเกิดในตำแหน่งที่มีการกดทับ เช่น ขอบชุดชั้นใน ขอบกางเกงรัดๆ
- ผื่นจากการติดเชื้อไวรัส เช่น หูด หูดข้าวสุก ผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก มักมีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร สีกลืนกับผิวหรือออกขาว ไม่แดง สามารถขึ้นได้ทุกตำแหน่งในร่างกาย ส่วนใหญ่มักไม่คัน
- ผื่นสาเหตุจากเชื้อรา ผื่นจากการติดเชื้อราจะมีขอบชัด แดง อาการคันเพียงเล็กน้อย สามารถเกิดผื่นได้ทุกตำแหน่งของร่างกาย แต่มักพบบ่อยบริเวณซอกพับและตำแหน่งอับชื้น
บางรายถ้าเป็นการติดเชื้อราจากสัตว์เลี้ยง ลักษณะผื่นจะรุนแรง แดง แฉะ และอาจมีตุ่มหนองได้ ถ้าผู้ป่วยซื้อยากลุ่มลดอักเสบสเตียรอยด์มาทาเอง จะยิ่งทำให้ผื่นเชื้อราลุกลามออกไป
- ผื่นสะเก็ดเงิน ผื่นสะเก็ดเงินจะมีลักษณะนูนแดงขอบชัด มีขุยสีขาวสะท้อนคล้ายสีเงิน ผื่นสามารถขึ้นได้ทั่วร่างกาย พบบ่อยบริเวณข้อศอก หัวเข่า เล็บผิดปกติ บางรายพบขุยที่ศีรษะ ผู้ป่วยมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรังแค สระผมเกาแรงขยี้แรง ขุยที่ศรีษะก็ไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้อาการคันรุนแรงขึ้นอีก
โดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินมักมีอาการคัน ถ้าผู้ป่วยแกะเกา จะสามารถลามเกิดผื่นขึ้นใหม่ในตำแหน่งที่แกะเกาได้
June 9, 2020 at 7:17:07 AM
แผลกดสิวที่ตกสะเก็ด กี่วันถึงจะหาย?
สะเก็ดแผล เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
การกดสิวนั้น อาจมีแผลจากการกดแต่ละครั้งที่มีขนาดและความลึกของแผลไม่เท่ากัน
จึงเกิดการหายของแผลที่แตกต่างกันได้
แผลตกสะเก็ดตื้นๆจากการกดสิวนั้น จะใช้เวลา 2-3 วันจึงจะหลุดออก
สะเก็ดแผลเป็นการรักษาโดยธรรมชาติ สะเก็ดแผลเกิดจากเลือดที่แข็งตัวจับกันเป็นก้อนเพื่อปิดปากแผล กันไม่ให้เลือดไหลออกและไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้สะเก็ดแผลไม่สมาน เช่น การเสียดสีจากเสื้อผ้า การเผลอเอามือไปเกาในบริเวณที่เป็นโดยไม่รู้ตัว การโกนหนวดหรืออาบน้ำ ดังนั้นเราจำเป็นต้องป้องกันสิ่งเหล่านี้ ดังนี้
1. ห้ามแกะเกาในบริเวณที่เป็นสะเก็ดแผล สะเก็ดแผลอาจทำให้เรารู้สึกคันและยากที่จะทน แต่การที่เราเกาหรือดึงสะเก็ดแผลออกมานั้นอาจทำให้แผลติดเชื้อและการสมานแผลเป็นไปได้ช้า ผิวหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใต้สะเก็ดแผลนั้นบอบบางมาก ถ้าเราเกาหรือแกะสะเก็ดแผลออกมีโอกาสที่ผิวหนังใหม่จะถูกทำลาย วิธีป้องกันอาการคัน ให้ทาครีมหรือขี้ผึ้งจะทำให้ผิวหนังบริเวณรอบๆ ชุ่มชื้นและช่วยบรรเทาอาการคัน
2. ขี้ผึ้งป้องกันแบคทีเรีย
สิ่งที่ดีที่สุดคือการรักษาให้บริเวณแผลตกสะเก็ดแห้งและสะอาดอยู่เสมอ เราสามารถล้างทำความสะอาดได้โดยไม่ต้องถูกสะเก็ดแผลมากเกินไปและปล่อยให้แห้ง เมื่อสะเก็ดแผลแห้งให้ทาขี้ผึ้งบางๆ ที่บริเวณสะเก็ดแผลอย่างสม่ำเสมอ ข้อควรระวัง อย่าทาครีมหรือขี้ผึ้งที่สะเก็ดแผลมากเกินไปจะทำให้สะเก็ดแผลนุ่มและการรักษาแผลช้าลง
3. หลีกเลี่ยงการปิดแผล
ไม่ควรปิดพลาสเตอร์ยาในบริเวณแผลตกสะเก็ด ควรปล่อยให้แห้ง เราจะใช้ผ้าพันแผลหรือพลาสเตอร์ยาปิดบริเวณที่เป็นแผลก็ต่อเมื่อมีเลือดออกหรือแผลติดเชื้อ สะเก็ดแผลที่แห้งและสมบูรณ์จะช่วยให้กระบวนการสร้างผิวหนังใหม่รวดเร็วยึ่งขึ้น ถ้าแผลเปียกหรือถลอกแบคทีเรียจะสามารถเข้าไปในร่างกายทำให้เกิดการติดเชื้อได้ กรณีที่เป็นรอยแผลบนใบหน้าให้หลีกเลี่ยงการปิดปิดด้วยการใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ การแต่งหน้าในบริเวณแผลตกสะเก็ดสามารถนำไปสู่การติดเชื้อและเป็นแผลเป็นได้
4. ให้เวลาร่างกายเยียวยา
เราควรอดทนรอเวลา ร่างกายต้องการเวลาในการรักษาตัวเองด้วยธรรมชาติ สิ่งที่เราต้องทำคือ ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน C, D, E, กรดโฟลิก แคลเซียม และน้ำมันตับปลาสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันช่วยให้การรักษารวดเร็วขึ้นอีกด้วย
June 1, 2020 at 6:28:02 AM
แพทย์ผิวหนังเตือน อันตรายจากการ “สัก”
เตือนผู้นิยมสักให้คำนึงถึงความเสี่ยงและอันตรายของการสัก แนะให้คิดให้ดีก่อนสักเพราะอาจติดเชื้อและมีแผลเป็นติดตัวได้
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ผู้ที่มีความพึงพอใจหลงใหลในความสวยงามของสีสันและลวดลายของการสัก อาจยังไม่ตระหนักถึงอันตรายจากการสักที่จะมีผลต่อร่างกาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย
สาเหตุที่ทำให้การ “สัก” ในแต่ละครั้ง อาจเกิดอันตรายได้
1.การแพ้สีที่ใช้ในการสัก
2.เครื่องมือที่ใช้ไม่สะอาดเพียงพอ
3.การดูแลตนเองหลังจากการสักที่ไม่ถูกต้อง จนเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ทั้งทางผิวหนังและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
4.การสักสีลงไปในผิวจะทำให้ผิวหนังเกิดบาดแผลและมีเลือดออก มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ การแพ้สีย้อม การเกิดแผลเป็นนูน (Keloid) หรือการเปลี่ยนใจอยากลบออกในภายหลังซึ่งปัญหาการติดเชื้อจากการสักพบมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของการสักที่พบบ่อย คือ
- อาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส จากเข็มที่ไม่สะอาด
- กระบวนการดูแลแผลหลังการสักไม่สะอาดเพียงพอจนอาจเกิดเชื้อโรค
เชื้อโรคที่พบบ่อย มีทั้ง เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบบี/ซี เชื้อ HIV เป็นต้น
ดูแลผิวหลังสักไม่ดีพอ ก็เสี่ยงอันตรายได้
เนื่องจากมีความนิยมสักในตำแหน่งผิวหนังที่บอบบางเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และการดูแลแผลหลังการสักยุ่งยากมากขึ้น เช่น บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ รวมถึงอาจเกิดแผลเป็นจากการติดเชื้อหรือมีการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
วิธีดูแลผิวหนังหลังสัก
1. สังเกตให้ดีว่าช่างสักจะต้องทาปิโตรเลียมเจลลี่ลงบนรอยสักบาง ๆ ก่อนปิดด้วยพลาสเตอร์หรือ หรือผ้าพันแผล เพื่อป้องกันไม้ให้แบคทีเรีย และเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่แผล และป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นจากการเสียดสีของผิวหนัง กับเสื้อผ้า
2. หลัง 24 ชั่วโมง ค่อยเอาผ้าปิดแผลออก ล้างมือ ก่อนล้างแผลด้วยสบู่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยย้ำสะอาด ซับแผลให้แห้ง
3. ทาปิโตรเลียมเจลลี่ หรือขี้ผึ่งที่ช่วยป้องกันแบคทีเรียลงบนแผล และไม่ต้องปิดผ้าพันแผล
4. ทำความสะอาดแผลอย่างต่อเนื่องวันละ 1-2 ครั้ง
5. ถ้าสะเก็ดแผลขึ้น ไม่ควรแกะ ปล่อยให้หลุดเองตามธรรมชาติ
6. หากมีอาการปวดบวมแดงอักเสบ ควรรีบพบแพทย์
ก่อนตัดสินใจสักผิวหนัง ควรคำนึงถึงผลดีผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการสัก รวมทั้งหาข้อมูลสถานประกอบการที่เชื่อถือได้ก่อนรับบริการ เพราะเมื่อสักผิวหนังไปแล้ว เกิดไม่ชอบใจรูปที่สักไว้ภายหลัง และต้องการลบรอยสักออกก็จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายอีกมาก โดยค่าใช้จ่ายสำหรับการลบรอยสักมากกว่าการสักหลายเท่า เช่น เราอาจจะเสียค่าสักเพียง 1,000 บาท แต่การลบรอยสักอาจเสียค่าใช้จ่ายแพงถึง 5,000 – 20,000 บาท การรักษาส่วนใหญ่ต้องทำหลายครั้งอย่างต่อเนื่องทำให้เสียเวลาเสียเงิน ที่สำคัญ การลบรอยสักโดยการใช้เลเซอร์ ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ที่ต้องการสักหรือลบรอยสัก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกสถานบริการที่ได้มาตรฐาน
May 26, 2020 at 4:29:46 AM
หูดกับตาปลา ความต่างที่คล้ายกัน แยกอย่างไรให้ออก
หูดคืออะไร
หูด เป็นผิวหนังเล็กๆ ที่เกิดความผิดปกติแล้วงอกออกมาที่บริเวณผิวหนัง หูดเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ ส่วนของร่างกาย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณเท้า มือ และนิ้ว ซึ่งหูดนั้นเกิดขึ้นจากไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ โดยผ่านทางการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม หลังจากได้รับเชื้อแล้วมักจะไม่เกิดอาการโดยทันที ผู้ป่วยบางรายใช้เวลานานถึง 6 เดือนหลังจากได้รับเชื้อจึงจะมีอาการ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สัมผัสเชื้อแล้วจะมีอาการ สำหรับบางคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมาก ๆ เมื่อได้รับเชื้อแล้วอาจจะไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้
ตาปลาคืออะไร
ตาปลา เป็นชั้นผิวหนังหนาๆ ที่เกิดจาก การเสียดสีและแรงกดทับที่เกิดบ่อยๆ ดังนั้นจึงทำให้ส่วนใหญ่แล้วตาปลาจะเกิดขึ้นที่บริเวณเท้า เพราะเกิดแรงเสียดสีจากการใส่รองเท้า การเดิน การวิ่ง และแรงกดทับที่เกิดจากการนั่ง จึงทำให่ส่วนใหญ่แล้วตาปลามักจะเกิดขึ้นที่บริเวณเท้า ซึ่งรองเท้านั้นมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการเกิดตาปลา หากใส่รองเท้าแน่นไปก็จะเกิดแรงกดทับ หากใส่รองเท้าหลวมไปก็จะเกิดแรงเสียดสีได้ ดังนั้นการเลือกรองเท้า ควรเลือกให้เหมาะสมกับรูปเท้าและเลือกขนาดที่พอดีเท้า
"หูดกับตาปลา เหมือนและต่างกันอย่างไร"
ความเหมือน หูดและตาปลานั้นมีความเหมือนกันตรงที่
- มีขนาดเล็ก ผิวหนังมีความแข็งและด้าน
- ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่บริเวณเท้า
- มีอาการเจ็บมีโดนหรือเกิดการสัมผัส
ความต่างของ หูดกับตาปลา
จุดที่เกิดบนร่างกาย หูดสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ส่วนของร่างกาย ส่วนตาปลาสามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะบริเวณเท้าเท่านั้น
ลักษณะ
หูดมีลักษณะเป็นหลุมลงไปที่บริเวณผิวหนังและจะมีเส้นสีดำลึกลงไปที่ชั้นใต้ผิวหนัง ส่วนตาปลาจะมีลักษณะนูนขึ้นมาจากชั้นผิวหนัง เป็นขุยๆ และมีความแห้งกร้าน
สาเหตุการเกิด = หูดเกิดจากไวรัส ตาปลาเกิดจากแรงเสียดสีและการกดทับ
May 22, 2020 at 7:22:03 AM
รู้จักกับแมลงก้นกระดก ภัยร้ายใกล้ตัว
แมลงก้นกระดก (Rove beetles) หรือที่เรียกกันว่า ด้วงก้นกระดก ด้วงก้นงอน หรือ ด้วงปีกสั้น เป็นแมลงขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำสลับส้มเป็นปล้องๆ จุดเด่นของแมลงชนิดนี้คือเมื่อเกาะแล้วจะมีลักษณะเหมือนก้นกระดกขึ้นมา มักพบในช่วงฤดูฝน โดยเข้ามาตอมหลอดไฟในบ้านและร่วงหล่นตามพื้น
สาเหตุของโรค
เกิดจาก แมลงก้นกระดก ปล่อยพิษที่มีชื่อว่า พิเดอริน (Pederin) ซึ่งมีลักษณะเป็นกรดที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการแสบร้อนเป็นรอยไหม้หลังจากสัมผัสพิษประมาณ 8-12 ชั่วโมง โดยส่วนมากมักเกิดจากการสัมผัส ปัด หรือบี้ตัวแมลง จนทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง
อาการของโรค
สำหรับผู้ป่วยที่โดนกรดจากแมลงก้นกระดก จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน พบรอยไหม้ และตุ่มน้ำเป็นเป็นผื่น ที่มีลักษณะคล้ายเป็นเริมหรืองูสวัด แต่จะพบเป็นรอยยาว ไม่เป็นกระจุก มักพบรอยบริเวณนอกเสื้อผ้า ในบางคนที่แพ้พิษอาจมีอาการรุนแรง เช่น พุพอง คลื่นไส้อาเจียน หรือเริ่มมีไข้ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
วิธีการรักษา
สำหรับการรักษา เบื้องต้นเมื่อโดนพิษจากแมลงก้นกระดก ให้รีบล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผลล้างทันที แต่หากเกิดตุ่มน้ำและรอยแดงขึ้นแล้วสามารถทายาเพื่อรักษารอยแดงซึ่งจะหายไปเองประมาณ 2-3 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงเนื่องจากแพ้พิษให้รีบพบแพทย์ แพทย์จะใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ในการรักษา ส่วนรอยดำที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ จางและหายไปเอง ไม่เป็นแผลเป็น
วิธีป้องกัน
เราสามารถป้องกันแมลงก้นกระดกด้วยการปิดหน้าต่างและประตูให้สนิท เนื่องจากแมลงประเภทนี้ชอบเข้ามาเล่นแสงไฟในเวลากลางคืน และตรวจเช็คบริเวณที่นอนเสมอว่าไม่มีแมลงอยู่ ที่สำคัญหากพบแมลงก้นกระดกห้ามสัมผัสโดยการปัด หรือบดขยี้ ควรใช้วิธีเป่า หรือสะบัดออก
May 17, 2020 at 4:13:49 AM
ผื่น 5 แบบ ที่แพทย์คิดว่าอาจเป็นอาการจากไวรัสโคโรนา
งานวิจัยโดยทีมแพทย์สเปนพบว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลบางคนเกิดผื่น 5 แบบด้วยกัน
ผื่นเหล่านี้มักจะเกิดในคนไข้อายุไม่มาก และเป็นอยู่หลายวันด้วยกัน
แม้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผื่นจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส อาทิ โรคอีสุกอีใส นักวิจัยระบุว่าพวกเขาแปลกใจที่พบผื่นหลายชนิดเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ยังไม่ถือว่านี่เป็นหนึ่งในอาการของโรคอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่ามีคนไข้มีอาการที่เรียกกันว่า "Covid toe" หรือผื่นที่ขึ้นบริเวณเท้าของคนไข้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้มีอาการอื่นแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ดร.อิกนาซิโอ การ์เซีย-ดอวัล หัวหน้าทีมวิจัยบอกว่า พบผื่นประเภท "maculopapules" ซึ่งเป็นผื่นนูนแบนสีแดง ซึ่งมักจะเกิดบริเวณลำตัว บ่อยที่สุด
ดร.การ์เซีย-ดอวัล บอกว่าแปลกที่พบผื่นหลายแบบในคนไข้ และบางทีเป็นชนิดที่เจาะจงมาก
"มันมักจะเกิดขึ้นภายหลังจากคนไข้แสดงอาการทางระบบทางเดินหายใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่อาการที่สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคได้"
คนไข้ทุกคนที่ร่วมในการศึกษาวิจัยครั้งนี้อยู่ในโรงพยาบาล และก็มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ โดยงานวิจัยได้ตีพิมพ์ในสัปดาห์นี้ในวารสารโรคผิวหนังสหราชอาณาจักร
แพทย์ในสเปนได้ส่งข้อมูลคนไข้ที่เกิดผื่นมาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีคนไข้ทั้งหมด 375 คนด้วยกัน
ผื่น 5 ชนิดนี้ได้แก่
1.รอยโรค(บริเวณผิวที่มีความผิดปกติจากผิวหนังบริเวณอื่นๆ) ที่มีลักษณะไม่สมมาตรและเหมือนผื่นแดงที่เกิดจากอากาศเย็นจัด ทำให้เกิดอาการคันและเจ็บ โดยทั่วไปแล้วพบในคนไข้ที่อายุไม่มากและเป็นโดยเฉลี่ยแล้ว 12 วัน โดยเกิดขึ้นกับคนไข้ที่มีอาการไม่หนักและเกิดหลังมีอาการหลัก ๆ ของโรคไปแล้ว คิดเป็น 19% จากกรณีทั้งหมด
2.แผลพุพองเล็ก ๆ มักจะคัน และพบบริเวณแขนขาและลำตัว พบในคนไข้วัยกลางคน จะเป็นอยู่ราว 10 วัน และเกิดขึ้นก่อนคนไข้จะมีอาการอื่น ๆ คิดเป็น 9% จากกรณีทั้งหมด
3.บริเวณผิวหนังนูนเป็นสีขาว หรือชมพู ที่ดูเหมือนอาการลมพิษ และมักจะคัน ส่วนใหญ่เกิดตามตัว แต่บางครั้งก็เกิดบนฝ่ามือ คิดเป็น 19%จากกรณีทั้งหมด
4. ผื่นนูนแบนสีแดง หรือ "maculopapules" เกิดในคนไข้ 47% จากกรณีทั้งหมด จะเป็นอยู่ประมาณ 7 วัน โดยมักพบในคนไข้ที่มีอาการจากโควิด-19 ค่อนข้างหนัก
5. อาการผิวหนังที่เป็นสีแดงและสีน้ำเงิน และมีลักษณะคล้ายแห เป็นสัญญาณของการหมุนเวียนของเลือดที่ไม่ดี เกิดในคนไข้สูงอายุที่มีอาการหนัก
อย่างไรก็ดี รายงานวิจัยย้ำว่าผื่นชนิดต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุอื่นได้ และอาจจะแยกประเภทยาก หากไม่มีแพทย์เฉพาะทาง
May 12, 2020 at 8:08:29 AM
ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ด้วยโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ ตัวยาจะเข้าไปหยุดการทำงานชั่วคราวของประสาทที่กระตุ้นต่อมเหงื่อ เมื่อเหงื่อออกน้อยแล้วกลิ่นตัวก็จะไม่มี การฉีดโบท็อกซ์เข้าใต้รักแร้ พบว่าปริมาณเหงื่อลดลงมากกว่าครึ่งภายใน 1 เดือน เพราะโดยเฉลี่ยการฉีดโบท็อกซ์ในการระงับเหงื่อนั้นจะฉีดอยู่ที่ปริมาณ 1 ขวด ซึ่งมีตัวสารโบท็อกซ์อยู่ 100 ยูนิต ก็จะฉีดเข้าที่บริเวณรักแร้ ข้างละ 50 ยูนิต แต่ในคนที่มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก จากประสบการณ์อาจไม่ต้องใช้ยาถึง 1 ขวด โดยเพียงแค่ 50 ยูนิตต่อ 2 ข้างหรือขางละ 25 ยูนิต ก็มีประสิทธิภาพที่ใช้ในการลดเหงื่อใต้รักแร้ได้เพียงพอแล้วและยังช่วยลดค่า ใช้จ่ายให้แก่คนไข้อีกด้วย โดย ผลของการฉีดโบท็อกซ์พบว่าสามารถลดการหลั่งเหงื่อได้นาน 4 เดือนถึงเกือบ 1 ปี โดยส่วนมากการฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาภาวะกลิ่นตัวหรือภาวะเหงื่อออกมาก ในแต่ละครั้งจะมีฤทธิ์นานได้ถึง 8-10 เดือนเลยทีเดียว แต่ระยะเวลาในการออกฤทธิ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ทำความเข้าใจวิธีการรักษา
วิธีการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อนั้นไม่ยุ่งยากเลย แพทย์จะใช้ยาฉีดในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย เข็มที่ใช้ฉีดมีขนาดเล็ก ก่อนฉีดจะทายาชาหรือประคบด้วยน้ำแข็งบริเวณที่จะฉีดเพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บ ในการฉีดก็จะฉีดในตำแหน่งที่ตื้นเฉพาะชั้นผิวหนังเท่านั้น ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน หลังฉีดก็จะมีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดยาทั่วไปนั่นแหละ เช่น อาการบวมเล็กน้อยแต่จะเป็นแค่ชั่วคราวและหายไปได้เอง ถ้าใครที่รู้สึกว่าปวดมากก็อาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการได้ หรือจะใช้การประคบด้วยความเย็นก็ช่วยได้ ส่วนอาการฟกช้ำเกิดขึ้นน้อยมาก จึงไม่ต้องกังวล
ผลลัพธ์ที่ได้
หลังฉีดโบท็อกซ์ จะเริ่มเห็นผลว่าเหงื่อลดลงตั้งแต่ช่วง 1-3 วันแรก ถ้าถึงขั้นแห้งสนิทใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งถือว่ารวดเร็วทันใจ ส่วนผลการรักษาจะอยู่ได้ประมาณ 4 – 12 เดือนต่อการรักษาแต่ละครั้ง
May 7, 2020 at 3:46:33 AM












